call center : 02-756-0335
hotline : 086-3167436
ชาวเนปาลที่นับถือศาสนาฮินดูมีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์กุมารีกันมาก เพราะเชื่อว่าเป็นการกลับชาติมาเกิดของนาวปาวารตีหรือนางตารามเหสีของพระศิวะ บางตำนานกล่าวว่า กุมารีคือตัวแทนของเทพตะเลชุหรือ ตะเลจู (Taleju) ในร่างเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์เป็นเทพผู้ปกปักรักษาเมืองกาฐมาณฑุ เป็นเทพผู้ให้พรและนำโชคลาภมาให้ และจะทรงสนทนากับกษัตริย์เพื่อทำนายทายทักชะตาราศี ในวันหนึ่งกษัตริย์เสวยน้ำจัณฑ์จนเมามายไร้สติ และได้จับต้องเท้าของเทพตะเลจูถือว่าเป็นการลบหลู่ เทพทรงพิโรธจากหนีจากไป กษัตริย์ราชวงศ์มัลละพระองค์นั้นทรงเสียพระทัยอย่างมาก ได้พยามยามบวงสรวงอัญเชิญให้เทพองค์เดิมเสด็จมาประทับ ดังเดิมเพื่อเป็นศรีแก่พระองค์ ทรวงสวดอ้อนวอนอยู่หลายครั้งหลายครา ในที่สุดเทพตะเลจูจึงปรากฏองค์ขึ้นแล้วตรัสว่า “เราไม่อาจอยู่ที่เดียวกับพระองค์อีกต่อไปแล้ว เพราพระองค์ได้สร้างราคีให้เกิดขึ้นแล้ว นับแต่นี้ต่อไปเราจะอวตารมาในร่างของเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ พระองค์จะต้องเสาะแสวงหาเด็กผู้หญิงผู้นั้นให้พบ จะต้องสร้างวังพิเศษให้เป็นการเฉพาะจะต้องอุปถัมภ์ค้ำชูเด็กหญิงคนนั้นเยี่ยงเทพกุมารี และพระองค์จะมีโอกาสพบกับเราได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีวังกุมารีอยู่ในเขตจัตุรัสเดอร์บาร์ในทุกอาณาจักรสืบต่อมา
กุมารีในเนปาลมี 4 องค์ด้วยกันคือที่กาฐมาณฑุ ปาทัน ภักตะปูร์และเกียรติปูร์ สำหรับกุมารีแห่งกาฐมาณฑุจะถือว่าราชกุมารี จะได้รับการเคารพจากกษัตริย์แห่งเนปาล ต่างไปจากุมารีองค์อื่นๆ ซึ่งกษัตรยิ์จะเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกอย่างให้อีกด้วย
การคัดเลือกกุมารีจะเป็นไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามคุณลักษณะดังนี้
1. เป็นเด็กหญิงอายุ 4-5 ปี ในหมู่ชาวเนวารี จากตระกูลช่างทอง หรือ ช่างเงินวงศ์ศากยะ (Sakya) เท่านั้น
2. จะต้องมีผิวเนียนผ่องใส ปราศจากจุดด่างพร้อย ตำหนิไฝฝ้าราคีและแผลเป็นตามร่างกาย และถูกต้องตามลักษณะที่กำหนดไว้ 32 ประการ
3. มีดวงตาสีดำหรือน้ำเงินเข้ม ขนตาต้องยาวเป็นแพดกหนา ราวขนตาวัว
4. มือทั้งสองข้างต้องอ่อนนุ่ม ช่วงแขนยาวระหง สวยงามได้สัดส่วนดี
5. ฟันขาวเป็นประกายดั่งไข่มุก เสียงใสเหมือนนกกระจอก
6. ดวงชะตาเกิดต้องเป็นดวงชะตาที่เข้ากันได้กับกษัตริย์แห่งเนปาลองค์ปัจจุบัน
แล้วขั้นตอนต่อมาต้องทดสอบคัดเลือกโดยนักบวช ดังต่อไปนี้
1. พิจารณาแล้วว่าเป็นเด็กหญิงที่มีอารมณ์สำรวมลึกซึ้ง ไม่ยินดียินร้ายกับสรรพสิ่งทั้งปวง ไม่หวาดกลัวในสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนพึงกลัว โดยจะทดสองในคืนที่เรียกว่า “Dead Night” คือคืนแห่งความสยดสยองของการบูชายัญด้วยสัตว์และเลือดสดๆ ถวายแด่เทพเจ้าทั้งปวงครั้งใหญ่ของปี เด็กหญิงจะต้องเดินผ่านหัวควายหัวแพะจำนวนมากที่ถุกตัดคอทิ้งไว้ในลานสังเวยที่วางเอาไว้ระเกะระกะท่ามกลางความมืดและกลิ่นคาวเลือดแต่เพียงลำพังคนเดียว
2. ให้อยู่ในห้องมืดทึบ มีบรรยากาศเปลี่ยวสยองขวัญเพียงคนเดียวตลอดทั้งคืนจะมีเสียงภูตีปีศาจที่กลุ่มทดสอบการคัดเลือกกุมารีจะทำขึ้นเพื่อให้เกิดบรรยากาศน่ากลัวน่าหวาดหวั่น กุมารีที่แท้จริงจะต้องสงบและทนได้โดยไม่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆไป
3. ด่านสุดท้ายคือให้เลือกหยิบชุดทรงเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของกุมารีองค์ท่านมา จากกองเครื่องแต่งกายที่วางผสมปนเปเอาไว้อย่างมากมาย หากเด็กหญิงคนใดหยิบขึ้นมาได้ถูกต้องก็จะได้รับการเลือกเป็นร่างทรงของ Living Goddess ได้
จากนั้นจะได้รับการอัญเชิญไปพำนักที่บาฮาลเป็นการถาวร และจะไม่ออกไปไหน ยกเว้นปีละ 1 ครั้งในงานเทศกาลอินดราจัตวา (Indrajatra) เทศกาลทางศาสนาโดยกุมารีจะนั่งเกี้ยวที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ ท่ามกลางขบวนแห่ตระการตา เนื่องจากมีข้อห้ามมิให้ข้อเท้าของกุมารีแตะต้องพื้นดิน
ช่วงชีวิตของการเป็นกุมารีจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อมีรอบเดือนเป็นครั้งแรก หรือเมื่อมีการเสียเลือดใดๆ แม้เพียงเล้กน้อยก็ตาม ฉะนั้นจะมีบาดแผลหรือเลือดตกยางออกไม่ได้เลย แม้กระทั่งฟันน้ำนมหลุดหรือหักเพียง 1 ซี่ ทำให้มีเลือดไหลออกจากร่างกายก็ต้องพ้นจากการเป็นกุมารีไปโดยทันที และต้องเดินทางออกจากอาคารกุมารีบาฮาลพร้อมกับทรัพย์สมบัติจำนวนหนึ่ง เมื่อเติบโตขึ้นเป็นสาวก็สามารถแต่งงานได้ และสามารถมีชีวิตตามปกติได้ แต่ทว่าความเชื่อที่ว่าอดีตกุมารีมีดวงชะตาสูงส่งจึงไม่มีชายใดกล้าแต่งงานกับเธอ ต่างกลัวว่าอาถรรพณ์จะเกิดตามมา คืออาจเกิดโชคร้ายและตายก่อนวัยอันควรมาสู่สามี เพราะมีดวงชะตาต่ำกว่านั่นเอง ทำให้อดีตกุมารีหลายคนมีชีวิตค่อนข้างลำบาก หลังจากมีชีวิตอย่างสุขสบายบ ได้ร่ำเรียนพระเวท การสวดมนต์ ได้ประทับบนราชรถหลวงที่มีหลังคาสูงลิ่ว เพื่อให้กษัตรย์และประชาชนทั่วไปได้พบและบูชาขอพรได้รับเครื่องบรรณาการด้วยข้าวและอาหารอย่างดี 84 ชนิด รวมทั้งมีผู้ดูแลรับใช้อย่างดีอีกด้วย
เขาจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปกุมารี เพราะถือว่าจะทำให้ดวงวิญญาณของเทพที่สิงสถิตอยู่ในตัวเด็กน้อย(กุมารี) นั้นหายไป แต่จะอนุญาตให้ถ่ายรูปได้เฉพาะปีละ 1 ครั้ง ในวันงานเทศกาลอินดราจัตราเท่านั้น แต่ก่อนนี้อดีตกุมารีจะเดินทางไปอาศัยอยู่ที่อื่นที่ไม่มีใครรู้อดีตของเธอ เพื่อเธอจะได้มีโอกาสแต่งงานและมีชีวิตเยี่ยงสามัญชนทั่วไป
บางครั้งมีเรื่องเล่ากันว่าเธอต้องไปเป็นนางคณิกา (นางบำเรอชั้นสูง) ในอินเดีย เป็นหญิงที่ประกอบไปด้วยความงามแห่งเรือนร่าง มีความรู้แตกฉานในศาสตร์และศิลป์ต่างๆ สามารถปรนเปรอภูมิปัญญาชั้นสูงให้แก่แขก สามารถถกเถียงและสร้างเสริมศิลปวิทยาแขนงต่างๆ เธอมีสิทธิ์ในการเลือกรับรองแขก มีสิทธิ์ใช้คานหามเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เธอมีศิลปะแห่งความรักใคร่ เป็นราชินีแห่งกามศิลป์ เป็นดอกไม้สูงค่าแห่งนครแต่ผู้เดียว
ชายหนุ่มที่มีฐานะต่ำจะไม่มีสิทธิ์ได้แตะต้องเธอแม้กระทั่งปลายเล็บมือ ผู้ชายที่มาสู่ยังที่ของเธอจะต้องเป็นลูกท้ายพระยามหากษัตริย์เท่านั้น จะนำทรัพย์สินอันมีค่าสูง เช่น เพชรพลอย ทองคำ ผ้าราคาแพง มาเป็นเครื่องตอบแทน สรุปว่านางคณิกาจะขายความงามของเรือนร่างไปพร้อมๆ กับสติปัญญาและความรู้อันปราดเปรื่องของเธอนั่นเอง