ทะเลสาบโทยะ

          เมื่อมาเที่ยวฮอกไกโด อีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นเมืองที่น่าเที่ยว นั่นคือ Toya  Onsen เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบโทยะ  และมีบ่อน้ำพุร้อนจากภูเขาไฟไหลออกมาตามจุดต่างๆทั่วเมือง บางทีก็เป็นบ่อสาธารณะที่ใครๆ ก็ไปแช่เท้าได้ บางทีก็เป็นบ่อในโรงแรมหรือสถานที่บริการอาบน้ำแร่ น้ำที่ออกมาไม่ถึงกับร้อนมาก แต่สำหรับหน้าหนาวที่อุณหภูมิติดลบแล้วก็นับว่าช่วยคลายหนาวได้มากทีเดียว โรงแรมส่วนมากจะเรียงรายอยู่รอบทะเลสาบ และมีบริการห้องอาบน้ำแร่ให้ใช้ (แยกชาย-หญิง) ซึ่งในฤดูต่างๆ ก็จะมีผู้คนมาเที่ยวตลอดปี เว้นแต่ในฤดูหนาวจะค่อนข้างเงียบเหงาสักหน่อย

         มองจากเมือง Toya onsen จะเห็นทะเลสาบโทยะและเกาะนากาจิมะ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาโยเทอิ (Mt. Yotei) ที่มีรูปร่างกรวยค่อนข้างสมบูรณ์และอยู่โดดๆ ไม่มีภูเขาอื่นอยู่รอบๆ คล้ายๆ กับภูเขาไฟจินั่นเอง เพียงแต่ไม่สูงเท่า (ฟูจิมีความสูงราว 3,776 เมตร ส่วนโยเทอิสูงเพียง 1,898 เมตรจากระดับน้ำทะเล) จึงมักตั้งฉายาให้ว่าเป็นภูเขาฟูจิน้อยแห่งฮอกไกโด

         ภูเขาไฟอุชุ เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ สูง 733 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อยู่ทางทิศใต้ของเมือง Toyako onsen ไปประมาณ 2 กม. (ย้ำอีกทีว่า 2 กม. เท่านั้น) ใกล้จนน่ากลัวทีเดียว) นับเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีการปะทุบ่อยที่สุด โดยเกิดขึ้นถึง 4 ครั้งในรอบร้อยปีที่ผ่านมาคือในปี ค.ศ. 1910, 1944-45, 1977 และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งพ่นเถ้าถ่านออกมาเป็นบริเวณกว้าง คลุมพื้นที่ตัวเมือง Toyako Onsen ไปทั่ว และทำลายอาคาร โรงเรียน ถนนและสะพานที่อยู่ใกล้เคียงบางส่วน แต่จากการเฝ้าระวังติดตามการเปลี่ยนแปลงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์กันอย่างเข้มงวด ทำให้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการปะทุได้ในระดับหนึ่ง และมีการอพยพคนออกจากเมืองได้ทันเวลา จึงไม่มีใครได้รับอันตราย แต่ทั้งเมืองก็ปกคลุมด้วยเถ้าถ่านภูเขาไฟสีดำๆ เล่นเอาพอเหตุการณ์สงบแล้วต้องกลับเข้ามาทำความสะอาดครั้งใหญ่กันเลยทีเดียวกว่าจะอยู่อาศัยได้อย่างปกติสุขตามเดิม

         ปัจจุบันสามารถขึ้นรถกระเช้าสู่ยอดเขาแล้วเดินไปชมปากปล่องที่ยังมีควันกรุ่นอยู่อย่างใกล้ชิดได้ โดบมีทางเดินเลียบปากปล่องไปยังฝั่งตรงกันข้าม ระยะทางประมาณ 700 เมตร ถือเป็นเส้นทางการศึกษาการระเบิดของภูเขาไฟ (Volcanic Walk) ไปในตัว สำหรับในฤดูหนาวเส้นทางนี้จะปิด หากต้องการจะเดินชมเส้นทางภูเขาไฟให้ติดต่อกับ Toyako Visitor Center เท่านั้น ซึ่งทางศูนย์จะมีบริการทั้งไกด์นำชม และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น รองเท้าหิมะ เสื้อกันหนาว รวมไว้ในราคา 3,700 เยนต่อคน 

        ทะเลสาบโทยะ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟ จึงเป็นรูปทรงกลม มีเส้นรอบวงยาวกว่า 40 กม. ตั้งอยู่ระหว่างทางของรถไฟสายซับโปโร-ฮาโกดาเตะ ประมาณครึ่งทาง ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติชิโกสึ-โทยะ (Shikotsu-Toya) นั่นเอง

        ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้คือในฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบจะไม่แข็งตัว ยังคงความใสและสงบให้ชมทัศนียภาพอันสวยงาม สวนในหน้าร้อน (ช่วง High season) อากาศที่นี่จะเย็นสบาย นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์ญี่ปุ่นนี้นิยมมาท่องเที่ยวบริเวณรอบๆ เพื่อเดินเล่น ปั่นจักรยาน หรือนั่งเรือเพื่อชมทิวทัศน์อันงดงามของโทยะโกะ นอกจากนี้ใจกลางทะเลสาบโทยะยังเป็นเกาะนากาจิมะ (Nakajima Island) เกาะขนาดเล็กที่สามารถลงไปเดินเล่นได้ (ยกเว้นฤดูหนาว ห้ามขึ้นเกาะ) สำหรับในตอนกลางคืนของช่วง high season ยังมีการแสดงพลุไฟและแสงสีทุกๆ สามทุ่มของทุกคนอีกด้วย

        นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ทะเลสาบยังมีรีสอร์ท ที่พักตากอากาศ โรงแรมหรูและออนเซ็นขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก และที่พักเหล่านี้จะมีออนเซ็นที่สามารถแช่ไปนั่งชมทิวทัศน์ทะเลสาบไปได้อีกด้วย

            ชั้นล่างของสถานีรถกระเช้าเชิงเขาอุชุ นอกจากจะเป็นร้านขายของที่ระลึกแล้ว ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ของภูเขาไฟในบริเวณทะเลสาบโทยะ ประวัติการระเบิด การเฝ้าระวัง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งภูเขาไฟอุชุถูกศึกษาและสำรวจมากที่สุดในญี่ปุ่น มากจนมีการประกาศให้พื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดเป็น Volcanic Geopark หรืออุทยานทางธรณีวิทยาภูเขาไฟแห่งแรกของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

           เป็นภูเขาแปลกประหลาด อยู่ทางตะวันออกของภูเขาอุชุ (Uzu) และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากรถกระเช้า บริเวณที่เป็นภูเขานี้เมื่อเกือบ 70 ปี ก่อนเป็นเพียงทุ่งนาธรรมดา ต่อมาได้ถูกแรงดันในเปลือกโลกที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับการปะทุของภูเขาไฟอุชุในปี ค.ศ. 1944-45 ดันให้ปูดขึ้นมาจนกลายเป็นภูเขาที่มีความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีมีความสูงถึง 211 เมตร จากบริเวณโดยรอบ (398 เมตรจากระดับน้ำทะเล) อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

           ภูเขานี้จะเห็นได้ชัดเจนจากสถานีเชิงเขาของรถกระเช้าภูเขาอุชุ ซึ่งอยู่ระหว่างกลางของภูเขาทั้งสอง และสามารถเดินจากจุดนั้นไปชมบริเวณเชิงเขา Showa-shinazan ได้ ซึ่งจะมีรูปปั้นของ Masao Mimatsu นายไปรษณีย์ท้องถิ่น ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากการคอยบันทึกความเปลี่ยนแปลงของภูเขานี้อย่างเป็นระบบ และได้นำเสนอต่อวงการวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา