call center : 02-756-0335
hotline : 086-3167436
ปารีส (Paris) เป็นเมืองใหญ่มากที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปยุโรป มีประชากรมากกว่า2 ล้านคนในเขตเมือง และกว่า 10 ล้านคนในบริเวณเขตการปกครองปารีสนอกกรอบ เป็นทั้งศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรม ความทันสมัยและแฟชั่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนจากทั่วสารทิศจึงต่างมุ่งจุดหมายการเดินทางมาที่เมืองใหญ่แห่งนี้ และนั่นเองทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกติด อันดับต่อเนื่องกันมาหลายปีและปารีสยังจัดว่าเป็น 1 ใน 4 มหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกร่วมกับ ลอนดอน โตเกียว และนิวยอร์คอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่ที่มาทัวร์ยุโรป ก็ต้องมาปารีสโดยส่วนใหญ่
กรุงปารีสตั้งอยู่ในเขตฝรั่งเศสตอนเหนือศูนย์กลางเมืองอยู่บริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำแซน (La Seine) แต่จัดเป็นทัวร์ยุโรปตะวันตก แม่น้ำใหญ่สายหลักซึ่งเป็นตัวหล่อเลี้ยงเมืองมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล และเป็นเส้นทางการคมนาคมที่สำคัญมากในอดีต ดังจะเห็นว่าจะมีสิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเรียงรายอยู่ตามสองฝั่งแม่น้ำเกือบทั้งหมด
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของปารีสมีมาอย่างยาวนานมากกว่า 2,500 ปีแล้ว โดยในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล บริเวณที่ราบแม่น้ำ Seine ถูกปกครองโดนชนเผ่าเชลติค ซึ่งพวกเซลติคที่มาตั้งรกรากในบริเวณนี้จะถูกเรียกว่า ปาริซี่ โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีความชำนาญในการเดินเรือและค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นอย่างมาก การตั้งรกรากค่อยๆ เข้มแข็งขึ้นเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี จนเมื่อ 52 ปีก่อนคริสตกาล ยุคสมัยแห่งความขัดแย้งระหว่างโรมันและเซลติคได้สิ้นสุดลง จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิของโรมันในขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้ยึดครองพื้นที่ลุ่มแม่น้ำทั้งหมดและตั้งรากฐานเมืองขึ้นมาอย่างจริงจัง และขนานนามเมืองว่า Luteltia ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Lutece
เมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก และมีการขยับขยายเมืองออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด แต่ความเจริญรุ่งเรืองที่เหมือนจะไม่มีวันล่มสลายนี้ก็จะที่เหมือนจะไม่มีวันล่มสลายนี้ก็พบกับจุดจบ พร้อมๆ ไปกับการล่มสลายของอาณาจักรโรมันในราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 และทำให้เมือง Lutece ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชาวแฟรงค์ (Frank) จะเข้ามายึดครองในช่วงปี 500 และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น ปารีส โดยตั้งให้เป็นเมืองหลวงของชาวเซลติค
ในยุคกลางปารีสได้เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกด้วย การค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น และสถานะการเงินของเมืองก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ จึงถูกสร้างขึ้นในยุคกลางนี้ เริ่มตั้งแต่ มหาวิหารนอตเตรอะดาม (Notre Dame) ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 และในเวลาใกล้เคียงกันก็ยังมีก่อสร้างวิหารแซงต์-ชาแนล พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกด้วย
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดในหน้าประวัติศาสตร์ปารีส คือ สงครามร้อยปีระหว่างชาวสแกนดิเนเวีย อังกฤษ และราชวงศ์ของฝรั่งเศส โดยสงครามครั้งนี้ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เป็นสิทธิ์ของฝรั่งเศส และกำเนิดตำนานของผู้วีรชนหญิงอันโด่งดังอย่าง Joan of Are นั่นเอง
หลังสงครามสิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 14 อูช กาเปต์ (Hugh Capet) ตั้งตนเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส และได้ก่อตั้งราชวงศ์กาเปเตียงและทำให้เมืองปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นี่เอง ที่ปารีสกลับเข้าสู่ยุคเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากอีกครั้ง อาคารสถาปัตยกรรมอันสวยงามส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในช่วงนี้ ความเจริญรุ่งเรืองดำเนินไปจนขีดสุดในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือ รู้จักกันในนามราชาแห่งพระอาทิตย์ Le Roi Soleil ทั้งพระองค์และมเหสี พระนางมาเรีย อองตัวเน็ต ใช้เงินไปอย่างฟุ่มเฟือยในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังอดอยาก ที่เห็นได้ชัดเจนคือ พระราชวังแวร์ซายที่หรูหราอลังการด้วยเหตุนี้เอง ประชาชนจึงแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และนำไปสู่สงครามปฏิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
การล้มล้างระบบกษัตริย์เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1799 ต่อมาหลังยุคการปฏิวัติฝรั่งเศสอีกระยะหนึ่ง ประชาชนได้สนับสนุนให้นายพลนโปเลียนขึ้นเป็นผู้ปกครองประเทศ นโปเลียนได้แต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1804 และขยายอาณาเขตของประเทศออกไปอย่างกว้างไกลถึงรัสเซียและเบลเยี่ยม จากความยิ่งใหญ่ในการขยายอาณาเขตของนโปเลียนนี่เอง ทำให้มีการสร้างประตูชัยขึ้นเพื่อยกย่อง มหาจักรพรรดิผู้นี้
หลังจากสิ้นยุคนโปเลียนทายาทของพระองค์ไม่อาจรักษาความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษได้ จนถูกปฏิวัติอีกครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และมีการปฏิวัติเมืองใหม่ให้กลายเป็นเมือง แห่งศิลปะและก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ปารีสกลายเป็นเมืองแห่งศิลปะอย่างสมบูรณ์แบบ World Exposition หรือ EXPO ขึ้น และมีการสร้างหอไอเฟลขึ้นในปีนี้เอง
แต่แล้วเมืองที่สวยงามก็กลับมาโดนทำลายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกปี ค.ศ. 1940 กองทัพนาซีได้เข้าทำลายสิ่งก่อสร้างต่างๆเสียหายไปอย่างมาก ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย นับเป็นช่วงเวลาที่เลยร้ายมากที่สุดของปารีส แต่เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นแล้วปารีสก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา จนได้ปี ค.ศ.1954 ได้มีการบูรณะเมืองครั้งใหญ่ และในการฟื้นฟูครั้งนี้ปารีสถูกพัฒนาโดยมุ่งเน้นทางด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมควบคู่ไปด้วย
จากการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน จึงทำให้ปารีสเป็นเมืองแห่งศิลปะที่ครบวงจรทั้งสมัยเก่าและสมัยใหม่ และเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากจะมาเยือนเมืองหลวงแห่งศิลปะแห่งนี้สักครั้งในชีวิต