call center : 02-756-0335
hotline : 086-3167436
เที่ยวไต้หวันห้ามพลาดกับไฮไลท์ 7 แหล่งท่องเที่ยว
1. ไทเป 101
ตึกไทเป 101 ที่ตั้งอยู่อยู่ในเขตพิเศษซิ่นอี้ ถือเป็นแลนด์มาร์คของกรุงไทเป อาคารที่มีความสูง 508 เมตรแห่งนี้เริ่มการก่อสร้างในเดือนมกราคม 2541 ส่วนที่เป็นช้อปปิ้งมอลล์เปิดให้บริการในปี 2546 ส่วนตัวอาคารสูงที่เป็นอาคารสำนักงานเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2547 ความสำเร็จของอาคารแห่งนี้ถือเป็นถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของการยกระดับไต้หวันสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียแปซิฟิค ตัวอาคารที่ผสมผสานความคลาสสิคของวัฒนธรรมตะวันออกเข้ากับเอกลักษณ์ของไต้หวันแห่งนี้ถูกสร้างเป็นเหมือนปล้องไผ่ที่เจริญเติบโตต่อขึ้นไปเรื่อยๆ และมีความอ่อนช้อยอยู่ในตัว แสดงให้เห็นถึงแนวคิดในแบบสถาปัตยกรรมจีน ที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน นอกจากนี้ การใช้วัสดุไฮเทคในระบบให้แสงสว่าง ทำให้เกิดเป็นมุมมองที่ให้ความรู้สึกชัดเจนโปร่งใส และกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างลงตัว ให้ประสบการณ์แปลกใหม่แก่ผู้ที่มาเยือนกรุงไทเป
อาคารไทเป 101 ถูกออกแบบให้ใช้งานได้ทั้งการเป็นอาคารสำนักงานของบริษัทการเงินหลักทรัพย์ และเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มเงินทุนต่างๆ รวมไปจนถึงด้านความบันเทิงและการจับจ่ายซื้อของ ถือเป็นเสมือนภาพย่อส่วนของชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน โดยใน่วนของช้อปปิ้งมอลล์ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อแฟชั่น สินค้าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง และสปาไว้คอยให้บริการ ทำให้ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ของไทเป 101 มีบริการครอบคลุมทั้งในส่วนของความบันเทิงแฟชั่น อาหารและวัฒนธรรมแบบครบวงจร
ในส่วนของบริเวณโดยรอบนั้น ไทเป 101 เสมือนได้เชื่อมต่อกับอาคารต่างๆ ที่อยู่รอบทั้งที่ว่าการกรุงไทเป ศูนย์ประชุมนานาชาติ เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท โรงละครซินอู่ไถ รวมไปจนถึงมูฟวี่ส์วิลเลจและห้างสรรพสินค้าในละแวกใกล้เคียงให้กลายมาเป็นย่านธุรกิจที่รวมเอาทั้งการเงิน การค้า การพักผ่อน และการช้อปปิ้งเข้าไว้ด้วยกัน
2. พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กง
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกู้กง ได้รวบรวมเอางานศิลปะแบบจีนที่ประมาณค่ามิได้จากโลกมาเก็บสะสมไว้ที่นี่ ซึ่งโบราณวัตถุที่จัดแสดงอยู่ มีอายุเก่าแก่ครอบคลุมประวัติศาสตร์จีนทั้ง 5000 ปีไว้ทั้งหมด โดยมีของสะสมทั้งสิ้นประมาณ 620,000 ชิ้น และส่วนใหญ่เป็นของสะสมของฮ่องเต้และเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ในแต่ละราชวงศ์ ที่เริ่มมีการสะสมวัตถุโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีก่อน
โดยพิพิธภัณฑ์กู้กงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่เข้าชมสามารถถ่ายภาพภายในได้บางส่วนตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2544 เป็นต้นมา แต่ห้ามการใช้แฟลซในการถ่ายภาพ และอนุญาตให้ภาพถ่ายเหล่านี้ เฉพาะการเก็บสะสมเพื่อเป็นที่ระลึกส่วนตัวเท่านั้น โดยห้ามนำไปใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ รวมทั้งยังห้ามการนำไปจัดแสดงต่อสาธารณชนหรือดัดแปลงใดๆ เพื่อจุดประสงค์ในการเผยแพร่ต่อ
3. ทะเลสาบสุริยันจันทรา
ทะเลสาบที่เป็นอ่างน้ำของไต้หวันที่ได้รับเสียงชื่นชมในความงดงามมากที่สุด ก็คือทะเลสาบสุริยัน-จันทราตั้งอยู่ในเขตตำบลวี๋ฉือของจังหวัดหนานโถว ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 100 ตารางกิโลเมตร และเส้นทางโดยรอบมีความยาว 33 กิโลเมตร ส่วนของทะเลสาบทางทิศเหนือดูแล้วคล้ายกับพระอาทิตย์ในขณะที่ ส่วนทางทิศใต้ดูแลคล้ายพระจันทร์เสี้ยว จึงกลายเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบแห่งนี้ และจากการที่ทะเลสาบตั้งอยู่บนความสูง 760 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้มีทิศทัศน์อันงดงามราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของจิตรกรเอก บรรยากาศของทิวเขาสลับซับซ้อน ซึ่งตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ เมื่อมองตัดกับภาพของผืนน้ำอันกว้างไกลใสกระจ่างนี้ ไม่ว่าเราจะมองจากมุมไหนในช่วงเวลาใดในช่วงไหนของปี ต่างก็จะให้ความรู้สึกถึงความงามที่แตกต่างอย่างหาที่เปรียบมิได้ จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งต่อความงามอันบรรเจิดในธรรมชาติของที่นี่ แน่นอนว่าหากเราอยากสัมผัสกับบรรยากาศอันสวยงามราวกับภาพวาดนี้ การนั่งเรือท่องไปในทะเลสาบจะเป็นวิธีที่ทำให้สามารถซึมซับกับความวิจิตรตระการตาของที่นี่ได้อย่างใกล้ชิดมากที่สุด
แหล่งน้ำของทะเลสาบนี้คือต้นน้ำของแม่น้ำจั๋วสุ่ยซี ที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาเหอฮวานซาน ดังนั้นจึงสามารถนับได้ว่าภูเขาเหอฮวานซาน คือ ต้นน้ำของทะเลสาบสุริยัน-จันทราได้เช่นกัน เดิมที่ที่นี่เป็นเพียงทะเลสาบขนาดเล็ก แต่ในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันนั้น ทางการญี่ปุ่นได้ทำการชักน้ำจากแม่น้ำจั๋วสุ่ยซี ช่วงที่ใกล้กับทะเลสาบที่สุดคือแถวอู๋เจี้ย โดยสร้างเป็นอุโมงค์น้ำใต้ดินที่มีความยาว 15 กิโลเมตร ลอดใต้ภูเขาสุ่ยเซ่อซาน มายังทะเลสาบสุริยัน-จันทรา เพื่อจุดประสงค์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลได้เอ่อล้นจนท่วมภูเขาเล็กๆ หลายลูกด้วยกัน และกลายมามีสภาพดังที่เห็นเช่นในปัจจุบัน
น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีปริมาณการผลิตต่อปีสูงถึง 5 พันล้านยูนิต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56 ของปริมาณกระแสไฟฟ้า ที่ผลิตด้วยพลังน้ำทั้งหมดของไต้หวัน และคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 12,500 ล้านเหรียญไต้หวัน และด้วยความที่กระแสน้ำของที่นี่มีการไหลเวียนตลอดเวลา ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของสาหร่ายและพืชน้ำอื่นๆ ประกอบกับคุณภาพน้ำที่ใสสะอาด จึงเหมาะแก่การเติบโตของปลาเนื้อละเอียด เช่น ปลาชวี เยาอวี๋ ปลาฉีลื่อวี๋ รวมไปจนถึงกุ้งทะเลสาบที่ต่างก็กลายเป็นเมนูอาหารอันโด่งดังของที่นี่ ที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็ต้องขอลิ้มลอง
3. ทางรถไฟสายภูเขาอาลีซาน
ในปี ค.ศ. 1899 เพื่อจุดมุ่งหมายในการขนส่งท่อนไม้ ชาวญี่ปุ่นจึงได้เริ่มสร้างทางรถไฟขึ้นสู่ภูเขาอาลีซาน โดยมีความห่างของราง 762 มม. ความชันที่มากที่สุดคือ 6.25% และทางโค้งที่มากที่สุดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 เมตร โดยเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1912 ด้วยความยาวตลอดเส้นทาง 66.6 กิโลเมตร วิ่งระหว่างเจียอี๋ไปยังเอ้อวั่นผิง ก่อนที่ในปี 1914 จะขยายเส้นทางวิ่งต่อไปจึนถึงภูเขาอาลีซาน และมีการส้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมจนมีความยาวรวม 71.4 กิโลเมตร ตลอดทางเริ่มต้นจากที่เจียอี๋ซึ่งมีความสูง 30 เมตร จากระดับน้ำทะเล วิ่งไปจนถึงเขาอลีซานที่มีความสูง 2,216 เมตรจะระดับน้ำทะเล จะต้องวิ่งผ่านอุโมงค์ 49 แห่ง และสะพาน 77 แห่ง ตลอดเส้นทางจะสามารถชมความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากป่าเขตร้อน อบอุ่น และหนาว รวมไปจนถึงทิวทัศน์ของทิวเขาสลับซับซ้อน และแม่น้ำลำธารต่างๆ โดยเส้นทางรถไฟสายอาลีซานจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือช่วงพื้นราบกับช่วงขึ้นเขาช่วงพื้นราบคือ ระหว่างเจียอี๋ไปจนถึงจู๋ฉี (14.2 กิโลเมตร) และช่วงขึ้นเขาระหว่างจู๋ฉีจนถึงอาลีซาน (57.2 กิโลเมตร)
ในอดีตทางรถไฟสายนี้ถูกใช้ในการขนไม้และของจำเป็นในชีวิตประจำวันเป็นหลัก หากแต่ในทุกวันนี้ ทางรถไฟสายนี้ได้ถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นทางรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวไปแล้ว ซึ่งในปี ค.ศ. 1984 การรถไฟไต้หวันได้เปิดตัวรถด่วนอาลีซานขึ้น ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชม. 15 นาที เท่านั้น ในส่วนของหัวรถจักรไอน้ำที่ไม่ใช้งานแล้วก็ได้ถูกนำมาจัดแสดงและสำหรับตู้รถไฟเดิม มีบางส่วนที่ถูกนำมาดัดแปลงและตกแต่งใหม่ ให้กลายเป็นโรงแรมตู้รถไฟซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณสถานีเจาผิงและในปี 1986 เส้นทางรถไฟสายจู้ซานที่ต่อเติมขึ้นมาภายหลัง ถูกเปิดใช้อย่างเป็นทางการ โดยมีจุดเริ่มต้นจากที่สถานีอาลีซานใหม่ วิ่งไปตามเส้นทางคดเคี้ยว ที่ระดับความสูง 2,216 – 2,451 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาจู้ซาน
4. อุทยานแห่งชาติเขาอวี้ซาน
อุทยานแห่งชาติเขาอวี้ซานตั้งอยู่ในใจกลางของเกาะไต้หวัน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่สองของไต้หวันด้วย ภายในเขตอุทยานจะประกอบไปด้วยภูเขาสูงจำนวนมาก โดยเฉพาะภูเขาที่มีความสูงมากกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอยู่ในไต้หวันนับร้อยลูกก็มีมากถึง 30 ลูก ที่ตั้งอยู่ที่นี่ทิวทัศน์ของอุทยานแห่งนี้มีความงดงามแบบยิ่งใหญ่ตระการตา และถือเป็นอุทยานแห่งชาติ ทางภูเขาที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง โดยมียอดอวี้ซานเป็นศูนย์กลาง ตั้งอยู่บนพื้นที่ของ 4 จังหวัด คือ หนานโถว เจียอี้ เกาสง และฮวาเหลียน ฝั่งตะวันออกสุดคือเขาหม่าลี่เจียหนาน ใต้สุดคือเขาวันซาน ตะวันตกสุดคือทางเดินป่าหนานซีหลินเต้าทางเหนือสุดไปจนถึงเขาจวิ้นต้าซาน ครอบคลุมเนื้อที่ 105,490 เฮตเตอร์ (1 เฮคเตอร์ เท่ากับ 10,000 ตรม.) ที่มีเนื้อที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะไต้หวัน โดยต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตันออกของไต้หวัน ต่างก็มีต้นกำเนิดอยู่ที่นี่ จึงถือว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้านปลายน้ำเป็นอย่างยิ่ง และจากการที่มีความแตกต่างของระดับความสูงภายในอุทยานค่อนข้างมาก กล่าวคือจากจุดสูงสุดที่ยอดเขาอวี้ซานที่ความสูง 3,952 เมตรจากระดับน้ำทะเล ไปจนถึงจุดที่ต่ำที่สุดคือบริเวณแม่น้ำลาคู่ซีที่มีความสูง 300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ภายในเขตอุทยานมีระบบนิเวศน์ทั้งในแบบเขตอบอุ่นและเขตหนาว นอกจากจะเต็มไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์แล้ว ด้วยความที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ จึงกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมากและมีทิวทัศน์ที่สวยแปลกตาอีกด้วย
5. แม่น้ำแห่งรัก / เรือแห่งรัก
อ้ายเหอหรือแม่น้ำแห่งรัก มีต้นน้ำอยู่ในเขตตำบลเหรินอู่เซียงของจังหวัดเกาสง ก่อนจะไหลผ่านตัวเมืองเกาสง โดยถือเป็น 1 ในแม่น้ำสายสำคัญของนครเกาสงมีความยาวตลอดสาย 16.4 กม. สองฝั่งริมน้ำช่วงปลายน้ำถูกปรับปรุงให้เป็นสวนสาธารณะริมน้ำตลอดเส้น ถือเป็นจุดเดินเล่นพักผ่อน หย่อนใจที่ดีที่สุดในตัวเมืองของเกาสง และเป็นสถานที่แข่งเรือมังกรในช่วงเทศกาลไว้บ๊ะจ่าง รวมทั้งยังเป็นจุดจัดแสดงโคมไฟในช่วงเทศกาลโคมไฟด้วย
ก่อนหน้านี้แม่น้ำสายนี้ได้รับมลภาวะจากน้ำเสียของโรงงานที่ปล่อยทิ้งอย่างไม่เหมาะสมจนเกิดการเน่าเหม็น แต่ในช่วงหลายปีมานี้เทศบาลนครเกาสง ได้พยายามปรับปรุงคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้พัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองข้างให้เป็นพื้นที่สีเขียวจนทำให้อ้ายเหอกลายมาเป็นแม่น้ำอันแสนจะโรแมนดิกเช่นในปัจจุบัน
อ้ายเหอยามค่ำคืน จะมองเห็นแสงไฟนีออนสารพัดสีส่องสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ลานกาแฟนสองฟากฝั่งต่างก็ให้บรรยากาศที่แตกต่าง ทั้งอ้ายเหอมั่นพอ (อ้ายเหอแมมโบ้) และหวงจินอ้ายเหอ (อ้ายเหอสีทอง) กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นที่ลอยมาตามลมกับเสียงดนตรีแผ่วเบาที่บรรเลงคลอตามไปด้วย ทำให้ทุกคนที่แวะผ่านเข้ามาอดไม่ได้ที่จะชะลอตัวและซึมซับไปกับบรรยากาศที่อยู่ล้อมรอบนี้ ในช่วงระหว่างสี่โมงเย็นถึงห้าทุ่มครึ่งของทุกวัน เราจะสามารถโดยสารเรือแห่งรัก หรือ อ้ายเจือฉวนเพื่อชื่นชมกับความงามของทิวทัศน์สองฟากฝั่งแม่น้ำอ้ายเหอได้ โดยอ้ายจือฉวนคือกองเรือท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากการวางแผนและพัฒนาโดยกองการท่องเที่ยวนครเกาสง มีทั้งสิ้น 15 ลำ เป็นเรือยนต์เพื่อการท่องเที่ยวขนาด 20 ที่นั่ง โดยใช้ชื่อของเทพเจ้าแห่งรักอย่างคิดปิท และชื่อของคู่รักที่โด่งดังระดับโลก 7 คู่มาตั้งเป็นชื่อเรือ ซึ่งมีท่าเรือหลายแห่งตลอดเส้นทางให้ประชาชนใช้ขึ้นลงเรือได้ ตลอดทางจะได้ซึมซับกับทิวทัศน์อันงดงามไปพร้อมกับการจิบกาแฟรสเลิศ ชมการแสดงของเหล่าศิลปินเปิดหมวก ถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับนครเกาสงด้วย
6. อุทยานแห่งชาติเขิ่นติง
ชื่อของเขิ่นติง ได้มาจากเหตุการณ์ในช่วงปีที่ 3 ของรัชสมัยฮ่องเต้กวังเสวี้แห่งราชวงศ์ชิง ค.ศ. 1877 ซึ่งราชสำนักได้เกณฑ์ชายฉกรรจ์จากแถบเฉาโจว (แต้จิ๋ว) ในกวางตุ้งให้มาบุกเบิกพื้นที่บริเวณนี้ และเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงตั้งชื่อพื้นที่แถบนี้โดยใช้คำว่า “เขิ่น” ที่มาจากคำว่า ไคเขิ่นซึ่ง หมายถึง บุกเบิก และ “ติง” ที่มาจากคำว่า จ้างติง อันหมายถึง ชายฉกรรจ์ รวมกันเป็นคำว่า “เขิ่นติง”
ไต้หวัน ที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล และเป็นอุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในเขตอากาศร้อน สภาพภูมิประเทศที่พิเศษ พฤกษาและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ ไม่เพียงจะเป็นพิพิธภัณฑ์ในธรรมชาติทั้งด้านการค้นคว้า วิจัย การอนุรักษ์ และการรักษาสิ่งแวดล้อม หากแต่ยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่ได้ รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมากด้วย ทิวทัศน์อันงดงามภายในเขตอุทยานทั้งทะเลสาบหนานเหรินหู บึงหลงหร่วน เขาต้าเจียนสือซาน และหินเรือใบ (ฉวนฝานเสือ) ต่างก็มีส่วนที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไต้หวัน
เขิ่นติงมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิอากาศที่อบอุ่น ทิวทัศน์ที่จำเริญตา การคมนาคมที่สะดวก จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวชมได้มากถึงประมาณ 4 ล้านคนต่อปี และด้วยความที่อยู่ในเขตร้อนชื้น ทำให้มีพืชพรรณที่หลากหลาย ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นพันธุ์เฉพาะ และต้องการการดูแลเป็นพิเศษ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสัตว์ป่าอนุรักษ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เช่น กวางดาว ลิงแสม หรือเหยี่ยวหน้าเทา เป็นต้น ซึ่งช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเขิ่นเติงมากขึ้น อีกทั้งการมาชมดาว ฟังเสียงคลื่นหรือเดินเล่นในเขตอุทยานที่เขิ่นเติง โดยศึกษาเส้นทางและข้อมูลทางศุนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ภายในก่อน นอกจากจะถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังถือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเองอีกทางหนึ่งด้วย
7. ไท่หลู่เก๋อ (ช่องเขาทาโรโกะ)
อุทยานแห่งชาติไท่หลู่เก๋อ ตั้งขึ้นในปี 1986 ครอบคลุมเนื้อที่ในเขตจังหวัดอวาเหลียนหนานโถวและไถจงถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวันชื่อเสียงของไท่หลู่เก๋อเป็นที่รู้จักอันเนื่องจากทิวทัศน์อันงดงามตระการตาและหุบเขาและช่องเขาอันคดเคี้ยว เมื่อเราเดินไปตามลำน้ำลี่อู้ซี สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก้คือภาพของหน้าผาและหุบเหวที่สูงชัน ซึ่งถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันโดยอุโมงค์ทางเดินที่เจาะเข้าไปในภูเขา และทิวทัศน์ของภูเขาหินอ่อนที่ตั้งอยู่ริมลำธารอันเชี่ยวกราก
ภาพของน้ำตกหรือี่เรียกว่าพู่ปู้ในภาษาจีน ถือเป็นทิวทัศนี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอุทยานแห่งชาติไท่หลู่เก๋อแห่งนี้ โดยจากไท่หลู่เก๋อ ไปจนถึงแถบเหวินซานมีน้ำตกเป็นจำนวนมากที่เป็ฯที่รู้จักมากที่สุดคือน้ำตกไป๋หยาง น้ำตกอิ๋นไต้ น้ำตกฉางชุน และน้ำตกกลวี้สุ่ย นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกเล็กๆ ที่ไม่รู้จักชื่ออีกเป็นจำนวนมาก ถ้ำนกนางแอ่น (เยี่ยนจึโข่ว) และอุโมงค์เก้าโค้ง (จิ่วชวีตัง) ถือเป็นจุดที่ทิวทัศน์อันมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ส้างความพระทับใจให้กับผู้มาเยือนมากที่สุดในไท่หลู่เก๋อ และเป็นสองช่วงที่แคบที่สุดของหุบเหว ที่ริมผาได้ทำทางเดินสำหรับให้นักท่องเที่ยวเดินชมความงามของธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วประตูทางเข้าของไท่หลู่เก๋อที่สร้างตามแบบสถานปัตยกรรมจีน ก็เป็นจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
ทัวร์ไต้หวันยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย รอให้ท่านมาเยี่ยมชม รับรองว่า สวยงามถูกใจแน่นอน